---ทันตกรรมรากเทียม (implant dentistry)  เป็นการรักษาทางทันตกรรมด้วยการใช้วัสดุ ุฝัง (implant) ทางทันตกรรม หรือที่เรียกว่ารากฟันเทียม (dental implant) ร่วมกับการบูรณะทางทันตกรรม (dental restoration) โดยรากฟันเทียมจะเป็นวัสดุฝังที่ใส่ไปในกระดูกขากรรไกร เพื่อใช้เป็นหลักยึด (abutment) แก่ฟันปลอม ทันตกรรมรากเทียมได้รับการพัฒนามาโดยลำดับ ตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1947 ซึ่ง Dr. Formiggini เป็นทันตแพทย์คนแรกที่เริ่มทดลองฝังวัสดุในกระดูกขากรรไกร เพื่อเป็นหลักยึดให้แก่ฟันปลอมยึดอยู่ในช่องปากจากนั้นได ้มีการค้นคว้าใช้วัสดุต่าง ๆ อย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน ขนาดนี้ได้รับผลสำเร็จเป็นที่พอใจ รากฟันเทียมมีหลายชนิดแต่สามารถจำแนกตามลักษณะ
ก.  รากฟันเทียมชนิดฝังใต้เยื่อหุ้มกระดูก (Subperiosteal implant) มีลักษณะเป็นโครงซึ่งเมื่อใส่ให้แก่ผู้ป่วยแล้วจะมีส่วนฐาน ของโครงแนบกับกระดูกขากรรไกรและฝังอยู่ใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูก (subperiosteal) โดยจะมีส่วนหนึ่งของโครงที่มีลักษณะเป็นแกนเล็ก ๆ โผ่ลทะลุเนื้อเยื่อหุ้มกระดูกและเนื้อเยื่อช่องปาก (oral mucosa) ออกมาในช่องปากเพื่อเป็นหลักยึดสำหรับฟันปลอม
ข. รากฟันเทียมชนิดฝังผ่านกระดูก (transosteal implant) มีลักษณะที่ออกแบบมาเพื่อให้มีส่วนของรากฟันเทียมสามารถฝังผ่านกระดูก ขากรรไกรโดยมีบางส่วนของรากฟันเทียมทะลุเนื้อเยื่อหุ้มกระดูกเนื้อเยื่อช่องปากออกมา ในช่องปากเป็นส่วนที่รองรับฟันปลอม
ค. รากฟันเทียมชนิดฝังในกระดูก (Endosteal implant) เป็นรากฟันเทียมที่ออกแบบเพื่อให้มีส่วนฝังของรากฟันเทียม (implant fixture) สามารถฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรและมีส่วนหลักยึดของรากฟันเทียม (implant abutment) โผ่ลทะลุเนื้อเยื่อหุ้มกระดูกและเนื้อช่องปากออกมาในช่องปาก เพื่อเป็นส่วนที่ยึดของฟันปลอม
รากฟันเทียมชนิดฝังในกระดูก เป็นรากฟันเทียมที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งคุณภาพของวัสดุ และวิธีการให้การรักษา ลักษณะของรากฟันเทียมประเภทนี้มีรูปร่างใกล้เคียงกันกับรากฟันธรรมชาติ (natural teeth) จึงมักเรียกว่า รากเทียม (root form implant) ซึ่งผลการรักษาประสบความสำเร็จสูง ปัจจุบันรากฟันเทียมผลิตมาจากโลหะไทเทเนียมบริสุทธิ์ (pure titanium) หรือโลหะผสมไทเทเนียม (titanium alloy) เช่น Ti-6AI-4V เป็นต้น
เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงและมีความสามารถในการเข้ากันได้กับร่างกาย (biocompatibility) แต่บางชนิดได้พัฒนาให้ดีขึ้นมีการปรับปรุงพื้นผิวของรากฟันเทียม ให้มีความสามารถที่จะยึดกับเซลล์ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเคลือบพื้นผิวด้วยไฮดรอกซีอะพาไทท์ (hydroxyapatite) หรือการพ่นเคลือบด้วยโลหะไทเทเนียม (titanium plasma spray coated implant) เป็นต้น ----